อาการล้าตา พักสายตาก็ไม่ช่วยอะไร ถ้าใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ค่าสายตาผิด

    พักสายตาโดยไม่แก้ไขค่าสายตา ก็อาจจะไม่ช่วยอะไรเช่นกันค่ะ เพราะอะไร?
บอกก่อนเลยว่าใส่เเลนส์กรองแสงสีฟ้า หรือกรองแสงหน้าจอรุ่นไหน ป้องกันกี่%ตามทีโฆษณา ถ้าไม่แก้ไขสายตาก็ไม่ช่วยให้หายล้าค่ะ

หลายคนเข้าใจว่า “ล้าตา ปวดตา ปวดหัว” เกิดจากการใช้สายตานานเกินไป
เลยแก้ด้วยการ พักสายตา 20–20–20 หรือหลับตาพักเป็นระยะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี…

แต่ปัญหาที่เจอบ่อยมากคือ
พักเท่าไหร่ก็ยังล้า—พักแล้วดีขึ้นนิดเดียว พอกลับไปทำงานก็ล้าเหมือนเดิม

สาเหตุสำคัญไม่ใช่แค่ “ใช้สายตาเยอะ”
แต่คือ ใช้สายตาโดยที่ค่าสายตาไม่ตรง นั่นเองค่ะ

🔍 เหตุผลว่า ทำไม “พักสายตา” ถึงไม่ช่วย หากค่าสายตาไม่ถูกต้อง
เพราะ “ภาพที่เข้าตาไม่ชัดอยู่ดี”

ถ้าคุณมี สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง
หรือใส่คอนแทค/แว่นที่ค่าสายตาไม่ตรง

แม้พักสายตาจะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว แต่ว่า
พอกลับมามองจอ ภาพที่เข้าตายังเบลอเหมือนเดิม
→ สมองยังต้องพยายาม “เดา” ภาพตลอด
→ ความล้าจึงกลับมาเร็วมาก

พักยังไงก็ไม่หาย เพราะ “สาเหตุยังอยู่”ค่ะ

หลายคนเข้าใจว่า “ล้าตา ปวดตา ปวดหัว” เกิดจากการใช้สายตานานเกินไป เลยแก้ด้วยการ พักสายตา 20–20–20 หรือหลับตาพักเป็นระยะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีเลยค่ะ…

แต่……ปัญหาที่เจอบ่อยมากคือ
พักเท่าไหร่ก็ยังล้า—พักแล้วดีขึ้นนิดเดียว พอกลับไปทำงานก็ล้าเหมือนเดิม

สาเหตุสำคัญไม่ใช่แค่ “ใช้สายตาเยอะ”
แต่คือมีค่าสายตาแต่ไม่ได้แก้ไขอย่างถูกต้องหรือ ใช้แว่นสายตา คอนแทคเลนส์สายตาโดยที่ค่าสายตาไม่ตรง นั่นเองค่ะ

ระบบเพ่ง (Accommodation) ต้องทำงานชดเชยตลอดถ้าไม่แก้ไขค่าสายตา
หรือถ้าใส่แว่นหรือคอนแทค สั้นเกินจริง (Over-minus)
หรือ ไม่แก้สายตาเอียง สายตายาว
ดวงตาจะต้องใช้ “การเพ่ง” ช่วยทำให้ภาพชัดขึ้นตลอดเวลา

พัก 1 นาที = คลาย
กลับไปจอ = ต้องเพ่งใหม่
→ วนลูปแบบนี้ทั้งวัน

เลยล้าไม่รู้จบ
แม้คุณพักสายตาตรงเวลาเป๊ะก็ยังไม่ดีขึ้นค่ะ

การไม่แก้ไขค่าสายตา = สมองทำงานหนักตลอดเวลา
ทำให้ภาพ “เดี๋ยวชัด เดี๋ยวเบลอ ซ้อนเป็นเงา หรือพร่าเป็นแฉก”
สมองต้องประมวลผลมากผิดปกติเพื่อให้ภาพนิ่งและคม
นี่คือสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในคนไข้ที่มาปรึกษา

พักสายตาแล้วดีขึ้นแค่ชั่วคราว แต่ไม่เคยหายจริง
เพราะสมองยังเจอกับ “ภาพที่ไม่สมบูรณ์” อยู่ตลอดเวลา

แว่นหรือคอนแทคที่ผิดค่าสายตา = กล้ามเนื้อตาเกร็งทั้งวัน
ยิ่งใช้ค่าสายตา ผิด, ไม่พอ, มากเกิน, หรือ ไม่ได้แก้เอียงทั้งๆที่ควรแก้
ดวงตาจะเกร็งเพื่อชดเชยตลอดเวลา
→ การพักแค่ 20 วินาทีไม่พอหรอกค่ะ หรือแม้แต่นอนหลับไปตื่นขึ้นมาก็ดีขึ้นแปปนึงหยิบมือถือมาดูแปปนึงก็ล้าตาใหม่อีกแล้ว

เหมือนคนเดินไม่ใส่รองเท้าแต่ไปเดินบนถนนลูกรัง หรือพื้นถนนร้อนๆ ทั้งวัน
แม้จะนั่งพัก แต่ออกเดินอีกก็เจ็บอยู่ดี

ยิ่งพักสายตา“โดยไม่แก้ค่าสายตา”ก็ไม่ช่วยอะไร ใช่ค่ะ พักดีกว่าไม่พัก แต่พักแบบไม่แก้ต้นเหตุก็ไม่ได้ช่วยอะไร
เพราะแต่ละวันคุณจะใช้ “การเพ่งเกินความจำเป็น” ซ้ำ ๆ
จนเกิด:

Accommodative Fatigue (เพ่งล้าเรื้อรัง)

Accommodative Spasm (เพ่งค้าง มองไกลไม่ชัด)

ปวดศีรษะเรื้อรัง

โฟกัสภาพช้าลง

ตัวหนังสือซ้อนเบลอ

ความสามารถในการใช้สายตาลดลง

และอาจถูกวัดค่าสายตาสั้นเกินจริงได้ด้วย!

พักสายตา = ดี
แต่ พักสายตาอย่างเดียว โดยไม่แก้ไขค่าสายตาที่ไม่ถูกต้อง
= ไม่ช่วย และบางครั้งอาจยิ่งทำให้ล้าเรื้อรังมากขึ้น

การแก้ที่ต้นเหตุคือ:

ตรวจสายตาอย่างละเอียด
แก้ค่าสายตาให้ตรงจริง
ตรวจระบบเพ่งและระบบสองตาร่วมด้วย
ตรวจจุด Center ให้แม่น
เลือกเลนส์ให้เหมาะกับพฤติกรรมการใช้งานจริง

หลังแก้ไขถูกต้อง → อาการล้าหาย ใช้สายตาได้นานขึ้นแบบไม่ทรมาน
แล้วการพักสายตาก็จะ “ช่วยจริง” ในแบบที่ควรเป็นค่ะ

การใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ที่ไม่ตรงกับค่าสายตา


    สามารถส่งผลต่อการทำงานของ “กล้ามเนื้อตา” โดยตรงเลยค่ะ
เมื่อต้องเพ่งอยู่ตลอดเวลา ร่างกายจะเริ่มแสดงอาการเตือน เช่น

ปวดตา

ล้าตา

เวียนศีรษะ

หรือปวดศีรษะระหว่างวันบ่อยๆ

มาเล่าเคสกัน

            เคสนี้ อายุ27ปี มาด้วยอาการ…

    ปวดศีรษะและล้าตาขณะทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานถึงแม้จะพักสายตาเป็นระยะก็ไม่ดีขึ้น แต่ยังคงมีอาการล้าอยู่ทั้งๆที่ อายุก็ยังไม่ถึง40ปี ยังไม่น่าจะมีสายตายาวตาวัย

    แต่มีอาการที่ลักษณะคล้ายๆกับคนที่เริ่มมีสายตายาวตามวัยทั้งๆที่ไปวัดสายตาจากที่อื่นมาบอกว่าสายตาสั้นและใส่คอนแท็คเลนส์สายตาสั้น-1.25 ทับด้วยแว่นกรองแสง “ไม่มีค่าสายตา” อีกชั้น มาต่อเนื่องเกือบ1ปีแล้ว

    ก่อนหน้านี้มีอาการมองไกลไม่ชัดโดยเฉพาะเวลาขับรถตอนกลางคืน แทบจะไม่สามารถขับรถเองได้เลยเพราะรู้สึกมัว

    หลังจากใส่คอนแทคเลนส์ก็รู้สึกว่าชัดขึ้นกว่าตอนที่ไม่ใส่แต่ว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายตาอย่างบอกไม่ถูก และรู้สึกตาแห้งๆด้วยจึงอยากหยุดใส่คอนแทคเลนส์สักพัก เลยเลือกที่จะมาวัดสายตาและตัดแว่นใหม่

    ก่อนตรวจเคยใช้คอนแทคเลนส์ค่าสายตา −1.25 ทั้งสองข้าง
และสวมแว่นกรองแสง “ไม่มีค่าสายตา”
ผลคือ มองไกลเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเบลอ เมื่อทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ใช้มือถือ ไอแพด สลับกับดูเอกสารด้วย ต้องเพ่งตลอดเวลาแม้พักสายตาก็ไม่ดีขึ้น

     ทัศนมาตรทำการตรวจวัดระบบการมองเห็นอย่างละเอียด

      ค่าสายตา

           R-0.25-1.00*90. VA20/20

           L-0.25-1.25*85 VA20/20

           BCC+0.25

ไม่มีปัญหาตาเหล่ หรือตาเหล่ซ่อนเร่น ไม่มีปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับกล้ามเนื้อตา ไม่มีอาการภาพซ้อน

          แต่…พบว่ามีปัญหาสายตา

สายตาสั้นจริง ๆ แต่แค่เล็กน้อย เรียกเข้าใจง่ายๆว่าสั้น25

มีสายตาเอียงค่อนข้างชัดเจนที่ส่งผลให้มองเห็นแย่ลงโดยเฉพาะเวลากลางคืนนั่นเอง

ข้างขวาเอียง100

ข้างซ้ายเอียง125

ในขณะที่คอนแทคเลนส์เดิมเป็น −1.25 Sph ทั้งสองข้าง (ไม่มี cyl)

คือ ใส่คอนแทคที่สั้นเกินจริงถึงประมาณ −1.00 D และไม่แก้เอียงเลย

    สั้นเพียงเล็กน้อยแต่สายตาเอียงต่างหากที่เป็นเหตุผลหลักที่ส่งผลให้มีการมองไม่ชัด

ส่วนอาการล้าตาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจาก ใช้คอนแทคเลนส์ที่ค่าสายตาover กว่าค่าสายตาจริงอยู่มาก ส่งผลให้การมองไกลก็ไม่ได้ชัดนัก และในระยะใกล้ ยิ่งเบลอลง เปรียบเสมือนเป็นสายตายาวแทน กล้ามเนื้อตาต้องทำการเพ่งเพื่อชดเชยค่าสายตาที่เกินมาถึง1.00 D

    สรุปว่า…
ไม่ได้สั้นมาก แต่มี สายตาเอียงเป็นหลัก
ส่วนอาการล้ามาจาก “คอนแทคเลนส์ที่ค่าสูงเกินจริง” ส่งผลให้กล้ามเนื้อตาต้องเพ่งมากขึ้น เพื่อชดเชยค่าสายตาที่เกินมา เหมือนกลายเป็นสายตายาวแทนนั้นเองค่ะ ทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจ

หลังเปลี่ยนค่าสายตาใหม่

✅ มองเห็นชัดเจนระดับ VA20/20 ทั้งสองข้าง
✅ อาการปวดศีรษะและล้าตาดีขึ้น
✅ แนะนำให้ใส่แว่นตลอดเวลา เพื่อความคมชัด กะระยะถูกมองเห็นได้ง่ายขึ้น ให้สมดุลการเพ่งกลับมาปกติ

 

ทำไม “ใส่เกินค่าสายตาจริง” ถึงทำให้ล้า & ปวดหัว?

ขออธิบายแบบเข้าใจง่ายนะคะ

 มองไกลชัดขึ้นกว่าไม่ใส่แว่นหน่อยแต่…ชัดขึ้นแบบ “แลกกับการเพ่ง”

เวลาสายตาสั้นจริง ๆ แค่ −0.25 แต่ใส่คอนแทค −1.25
ตาจะรับภาพที่ ถูกทำให้สั้นเกินจริง (over-minus)

ตอนมองไกล: ภาพจะไปตก “เลยจุดโฟกัส” ไปด้านหน้าเรตินา  สมองอยากให้ชัด → ระบบเพ่ง (accommodation)ก็ต้องทำงานมากขึ้นเพ่งให้ชัดขึ้นเพื่อพยายามดึงจุดโฟกัสให้กลับมาตกที่เรติหน้า ในระยะไกลบางคนสมองพอชดเชยได้ แต่ในบางคนจะเกิด ความตึงเครียดของระบบเพ่ง (accommodative stress)ยิ่งเคสนี้ทำงานหน้าจอทั้งวัน สมองและกล้ามเนื้อตายิ่งเหนื่อย → ปวดตา ปวดหัว มึน ๆ ตึง ๆ ตลอดวัน เพราะต้องออกแรงเพ่งทั้งมองไกลมองใกล้

ยิ่งเวลามองใกล้ ใส่ค่าสั้นเกินจริง เวลาอ่านหนังสือ/ใช้คอม/ใช้มือถือในระยะใกล้

ปกติระยะใกล้ต้องใช้การเพ่งอยู่แล้ว

แต่ตอนนี้ตาต้อง “เพ่งเพิ่ม” เข้าไปอีก เพื่อหักล้างกำลังที่เกินมาจากในคอนแทคเลนส?ที่ใส่อยู่

ผลคือ ระยะใกล้กลายเป็นภาระหนักในการเพ่งเลย → เหมือนเป็น “สายตายาวปลอม ๆ”เพราะจริงๆแล้วไม่ได้เป็นสายตายาวทั้งชนิดสายตายาวตามวัยและแต่กำเนิดเลย

ร่างกายเลยส่งสัญญาณเตือนทำให้มีอาการ

  • ล้าตาเร็วกว่าปกติ

  • ใช้สายตาใกล้ไม่ทนไม่สบายตา

  • ปวดศีรษะเวลาใช้งานใกล้

  • รู้สึกเหมือนต้องเพ่งตลอดเวลา

  • ตาแห้งตามมาอีก

นี่คือเหตุผลแบบง่าย ๆ ว่า การใส่สายตาเกินค่าสายตาจริง ไม่ได้ทำให้ “ดีกว่า” เสมอไป แต่ส่งผลเสีย ที่ตามมาอีกด้วย

แล้ว “สายตาเอียง” ที่ไม่ได้แก้ไข ล่ะ?

ในเคสนี้ จุดสำคัญอีกอันคือ มี สายตาเอียง (Astigmatism)

แต่คอนแทคที่ใช้ = ไม่มีค่าเอียงเลย (Sph only)
แปลว่า

ภาพที่คนไข้มองเห็น ไม่เคยคมชัดจริงตามศักยภาพของตาเลย แม้จะรู้สึกว่าพอมองได้มากขึ้นก็ตาม

อาการที่ตามมาจากสายตาเอียงไม่ได้แก้ไข:

  • อ่านตัวหนังสือโดยเฉพาะป้ายบอกทางบนท้องถนนแล้วเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเบลอ

  • รู้สึกตัวอักษร “ไหว ๆ ซ้อน ๆ เงาๆ” แบบบอกไม่ถูก

  • มองแสงไฟพร่า ฟุ้ง เป็นแฉก โดยเฉพาะกลางคืน

  • สมองต้องทำงานหนักเพื่อ “เดา” ให้ภาพคม ส่งผลให้มีอาการ ล้าตา และปวดหัว

เมื่อเอา over-minus + ไม่แก้เอียง มารวมกัน
ร่างกายเลยต้องใช้ทั้งการเพ่ง + การประมวลผลภาพมากกว่าปกติ →
อาการปวดตา ปวดหัว ล้า เวียน ๆ มาครบเซ็ต

ทำไมเปลี่ยนมาใส่แว่นตามค่าสายตาที่ถูกต้องแล้วดีขึ้น?

หลังจาก:

วัดสายตาอย่างละเอียด แก้ทั้ง “สั้น + เอียง” ให้ตรงค่าจริง ปรับค่าสายตาไม่ให้ over  แนะนำให้ “ใส่ตลอดเวลา” เพื่อลดการเพ่งแบบผิด ๆ

ผลที่ได้:

หลักการรับแว่นไปแล้ว 2สัปดาห์ ใส่ได้ชัดเจนดี การมองเห็นชัดระดับ VA20/20 ทั้งสองข้าง ไม่ได้มีอาการมึนงงเลยหลังจากรับแว่นก็ปรับตัวได้ทันทีใส่เดินออกจากร้านเลย หลักจากนั้นติดตามผล  อาการปวดศีรษะ–ล้าตาดีขึ้นอย่างชัดเจน ใช้สายตาได้นานขึ้นโดยไม่รู้สึกไม่สบายตาเหมือนเมื่อก่อน

เพราะ

  • ตาไม่ต้องเพ่งชดเชยค่าสายตาที่เกิน

  • สมองไม่ต้องเดาภาพจากสายตาเอียงที่ไม่ได้แก้ไข

  • ระบบการมองเห็นได้ทำงาน “ในสภาวะใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด”

ทำไมใส่คอนแทค/แว่นไม่ตรงค่าสายตา ถึงอันตรายในระยะยาว?

โดยเฉพาะในคนที่ใช้สายตาทำงานหนักทุกวัน (ทำงานออฟฟิศ จอคอมฯ มือถือเยอะ)

เกิด “ภาวะใช้การเพ่งเกินกำลัง” (Accommodative Stress)
→ ตามมาด้วยปวดตา ปวดหัว  เหนื่อยง่าย ล้าตา รู้สึกง่วงๆอยากนอนหลับตลอด

เสี่ยงต่อการเกิด “Accommodative Spasm”
คือกล้ามเนื้อตาเกร็งจนคลายไม่ค่อยออก มองไกลก็ไม่ชัด
บางคนไปวัดสายตาอีกที กลายเป็น “สายตาสั้นเพิ่ม” แบบปลอม ๆ เรียกว่าสั้นเทียมโดยเกินจากการเพ่งค้างนานๆ

→ เวียนหัวง่าย กะระยะผิดพลาด
→ มีผลต่อการขับรถ / ทำงาน / ใช้ชีวิตประจำวัน

ในบางคนส่งผลต่ออารมณ์และสมาธิ เพราะสมองเหมือน “โดนรบกวนตลอดเวลา” จากภาพที่ไม่ชัด/ไม่เสถียร

สรุปเคสนี้

  • ใส่สั้นเกินจริง → ตาต้องเพ่งเยอะกว่าปกติ

  • ไม่แก้ไขสายตาเอียง → สมองต้องพยายาม “แปลภาพ” ตลอดเวลา

  • ภาพไม่เคยคมเต็มที่ → ใช้สายตาแล้วเหนื่อยตลอดทั้งวัน

  • ผลคือ: ปวดหัว / ล้าตา / เวียนหัว / ใช้สายตาไม่ทน

ทางออกที่ถูกต้อง ไม่ใช่ขายกรอบใหม่+เลนส์ตัดแสง หรือบางที่มักแนะนำให้ใส่เลนส์บลูบล็อกเพื่อกรองแสง แบบไม่มีค่าสายตา นั่นไม่ใส่การแก้ไขและแทบไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยด้วยซ้ำ
       แต่คือ “ตรวจวัดสายตาอย่างละเอียดกับทัศนมาตร”
และจ่ายค่าสายตาให้เหมาะสมกับการใช้งานจริงของเรา ร่วมกับการพักสายตาระหว่างวันด้วยค่ะ แต่ต้องแก้ไขสายตาอย่างถูกต้องก่อนนะคะ เป็นสิ่งที่สำคัญสุด แต่…พักสายตาโดยไม่แก้ไขค่าสายตาก็อาจจะไม่ช่วยอะไรเช่นกันค่ะ

พักสายตาก็ไม่หาย….เพราะ

ภาพที่เข้าตาไม่ชัดอยู่ดี”

ถ้าคุณมี

  • สายตาสั้น

  • สายตาเอียง

  • หรือใส่คอนแทค/แว่นที่ค่าสายตาไม่ตรง

แม้พักสายตาจะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว แต่ว่า
พอกลับมามองจอ ภาพที่เข้าตายังเบลอเหมือนเดิม
→ สมองยังต้องพยายาม “เดา” ภาพตลอด
→ ความล้าจึงกลับมาเร็วมาก

พักยังไงก็ไม่หาย เพราะ “สาเหตุยังอยู่”

เคสนี้แก้ไขปัญหายด้วย

เลนส์ระยะเดียว SV 1.50 HOYA FULL CONTROL

กรอบแว่นตา CATWALK

ตรวจสายตาอย่างละเอียดทุกขั้นตอน

หากมีปรอบแว่นสามารถนำมาเปลี่ยนเลนส์ได้ หรือสนใจกรอบแว่นแบบไหนสอบถามได้ค่ะหรือส่งรูปตัวอย่างมาให้เราได้

สอบถามเพิ่มเติมทางINBOX

โทร 061-629-4628

FB: Divine Eye Vision

Line: @divineeyevision

ที่อยู่: The Coast bangkok 3888/A114 แขวงบางนาใต้ เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260